วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

อานาปานสติ

ผมเคยฝึก อานาปานสติ มาเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว เพราะได้ศึกษา พุทธศาสนา และได้พบว่า อานาปานสติ เป็นวิธีการปฏิบัติที่มีประโยชน์มาก สำหรับคนโดยทั่วไป และก็เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้า ท่านใช้อยู่เป็นประจำด้วย

ตามหลักการของชาวพุทธแล้ว หลักของ ปัจจัตตัง หรือ รู้ได้เฉพาะตน นั้นสำคัญที่สุด ผมจึงอยากจะบอกแก่ทุกท่าน ในประสบการณ์ส่วนตัวของผม ซึ่งอาจไม่ตรงกับท่านอื่น และไม่จำเป็นต้องตรงกัน แต่หากทำได้แล้ว ก็น่าจะสัมผัสในสิ่งเดียวกันได้ เปรียบเสมือนกับการเดินทางไปคนละเส้นทาง แต่ก็ถึงจุดหมายปลายทางเดียวกัน

ต้องยอมรับว่า ในการฝึก อานาปานสติ ช่วงแรกของผม ยังมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นธรรมดาของผู้เริ่มต้น เพราะผมเข้าใจว่า มันเป็นการ "นั่งสมาธิ" ซึ่งคล้ายกับที่เราเคยฝึกมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในโรงเรียนซึ่งครูบาอาจารย์ฝึกหรือบังคับให้เรานั่งสมาธิกัน

ดังนั้น การฝึกนั่งในช่วงแรกของผม จึงเป็นเหมือน "การตั้งใจ" ที่จะทำให้ได้ ซึ่งนั่นนำไปสู่ ความเกร็ง และ ความไม่เป็นธรรมชาติ และฝืน ในช่วงแรกจึงเต็มไปด้วยความเครียด

แต่ผมก็ได้ฝึกนั่งมาอย่างสม่ำเสมอ จนเริ่มรู้สึกสบายใจ สบายกาย มากขึ้น

ในช่วงนี้แหละ ที่พระท่านสอนให้ ระวัง

ระวัง ว่าจะหลงกับมัน ระวังว่า จะเหลิงกับมัน ระวังว่าจะหลงทาง ซึ่งเป็นเรื่องจริง

เราจะเริ่มเสพติดการนั่งสมาธิ เพราะมันให้่ความสุขกับเรา นั่นเท่ากับ กิเลส ตัวหนึ่ง

การจะผ่านจุดนี้มาได้ ต้องเข้าใจ กับ วัตถุประสงค์ของ อานาปานสติ ให้ดี

ซึ่งในความคิดของผม จากประสบการณ์การฝึกฝนหลายปี ผมคิดว่า อานาปานสติ มันมีประโยชน์ ในเรื่องของ "การทำให้จิตใจของเราให้อยู่กับ ปัจจุบันขณะ" นั่นเป็นเป้าหมายอันแรก ลำดับถัดมาก็คือ "การทำให้จิตใจของเราเบาสบาย" ซึ่งบางครั้ง ที่ผมมีอาการเหมือนไม่สบาย ผมจะใ้ช้อานาปานสติ โดยพยายามปรับลมหายใจให้ ยาว และ ละเอียด (เบา) แล้วอาการไม่สบาย อาจหายไปได้ (ในกรณีของการไม่สบายจากความเครียด หรือ การใช้สมองหนัก)

อานาปานสติ ไม่จำเป็นต้องกระทำในท่านั่งเท่านั้น สามารถกระทำได้ในทุกอิริยาบท ตลอดเวลา ที่เราสามารถทำได้ แม้ในยามกินข้าว... ซึ่งผมพบว่า ทำให้เรา สัมผัสรสชาติอาหารได้ ชัดเจน มากขึ้น

อานาปานสติ ไม่ใช่การบังคับ ลมหายใจ แต่เป็นการศึกษา ความเกี่ยวข้องระหว่าง ลมหายใจ กับ ร่างกาย จนสามารถปรับให้สมดุลย์ กันได้ เราจะพบว่า หากเราสามารถหายใจให้ ยาวและลึก ละเอียด ได้ กายของเราจะเบาสบาย ไร้ทุกข์ ได้อย่างมาก

อานาปานสติ ช่วยให้เราเข้าสู่ มิติ ด้านใน ของจิตใจ ได้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก ในทางพุทธ และทางศาสนาต่างๆ

หลักการของ พุทธะ หาใช่การคิด หรือ การใช้ ตรรกะ เหมือนดั่งวิธีการของ วิทยาศาสตร์ แต่้เป็นวิธีของการ "ตระหนักรู้ ตามธรรมชาิติ" ซึ่งเกิดจาก สภาวะ บรรลุ หรือ ซาโตริ หรือ สมาธิ เท่านั้น ซึ่งวิธีการให้ได้มาซึ่ง สมาธิ นั้นก็มีหลายวิธี

อานาปานสติ ก็เป็นวิธีหนึ่ง ที่เหนี่ยวนำให้อาจเกิดสภาวะ ซาโตริ ขึ้นมาไ้ด้

หมายความว่า หากเราตระหนักรู้ในลมหายใจ เข้า-ออก ของเราได้ตลอดเวลา จิตของเราก็จะมีคุณภาพมากขึ้น และจะสามารถวิเคราะห์ สภาวะธรรม ต่างๆได้ชัดเจน และ ละเอียดมากยิ่งขึ้น

เป้าหมายหลักของสิ่งนี้ ก็คือ การเข้าใจใน กฎแห่งกรรม และ วัฏสงสาร เท่านั้นเอง......

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คุณค่าที่แท้จริง

คนส่วนใหญ่ ชอบคำว่า "ชนะ"
คนส่วนใหญ่ ชอบคำว่า "ได้"
เราเกิดมาเพื่อ "ต่อสู้" เพื่อ "ให้ได้" ซึ่งอะไรบางอย่าง ตั้งแต่เราเป็นเด็ก พ่อแม่ คอยสั่งสอนให้เรา "ขยัน" ตั้งใจในการร่ำเรียนหนังสือ หากเราไม่ตั้งใจ เพื่อนของเราก็จะเก่งกว่าเรา และจะชนะเรา และจะได้ดีกว่าเรา เราจะกลายเป็น ผู้แพ้ เราจะกลายเป็น "คนไร้ค่า"
สิ่งเหล่านี้ หล่อหลอมอยู่ในกระบวนการคิดของเรา ตลอดเวลา...
การเข้าสู่ระบบการศึกษา เกิดขึ้นราวกับการถูกสะกดจิต เด็กๆถูกสะกดจิต ให้เรียนสิ่งต่างๆ เรียนคณิตศาสตร์ เรียนวิทยาศาสตร์ เรียนศิลปะ เรียนร้องเพลง เรียนเต้นรำ เรียนการเข้าสังคม เรียนสิ่งต่างๆที่ ผู้ใหญ่ คิดว่า สิ่งเหล่านี้ "ดี" สำหรับเด็ก
แต่จะมี คน สักกี่คน ที่ตั้งคำถาม ว่า มีอะไรมากกว่าสิ่งเหล่านี้อีกไหม ที่ ชีวิต ที่ได้เกิดขึ้นมา "ควร" จะทำ...
อาจจะมีบางคน ที่ตั้งคำถามดังกล่าว และใช้ชีวิตในวิถีทางของตัวเอง เขาไม่ต้องการที่จะ "ไ้ด้" แต่ต้องการที่จะ "เป็น" แต่คนกลุ่มนั้น อาจถูกมองว่าเป็นคนที่ ขบถ เป็นอันตรายต่อระบบสังคม ระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมือง เพราะพวกเขาไม่ต้องการกฎหมาย หรือ นักการเมือง ไม่ต้องการ "ผู้ปกครอง" เพราะเชื่อในความเท่าเทียมกันของมนุษย์
คนฉลาดที่แท้ จะมองข้ามคำว่า "ระบบ" เพราะระบบเป็นสิ่งที่มนุษย์ สร้าง ขึ้นมา หาใช่ ความจริง ไม่
เพราะความจริง มิได้อยู่ในตำราหรือในคำพูดของคน ความจริง อยู่ใน ความจริง, อยู่รอบตัวของเรา
การแข่งขัน เพื่อให้ได้ซึ่งชัยชนะ ไม่ต่างจากการแข่งขันกีฬา เมื่อนักกีฬาแก่ตัวไป ก็ไม่สามารถแข่งต่อไปได้ อาจกลายเป็นคนที่ไร้คุณค่าในเชิงการแข่งขันไปได้
เสียดาย...ที่การศึกษาของมนุษย์ มุ่งเพียง ศักยภาพ ในเชิง การแข่งขัน ในเชิง เศรษฐกิจ เท่านั้น หาก การศึกษา มุ่งศักยภาพในเชิง มนุษยวิทยา อย่างแท้จริง อาจยกระดับ จิตวิญญาณของมนุษย์ไปได้อีกหลายขั้น
แต่การศึกษา ทุกวันนี้ กลับทำให้คนทำร้ายกัน แย่งชิงทรัพยากร บริโภคอย่างเกินต้องการ และเพิ่มความทุกข์ให้กับมนุษย์ เพิ่มความซับซ้อนให้กับชีวิตมนุษย์
อารยธรรมของโลก ล่มสลายมากี่ครั้ง เพราะการศึกษาในแบบนี้
เป็นธรรมดาของโลก, มักซ่้อนของดีไว้ มิให้มองเห็นง่ายๆ
ความรู้ ที่มีคุณค่าแท้จริง จึงมิได้อยู่ในระบบการศึกษา แต่อยู่ในตัวคนที่ต้องการแสวงหามัน
และมันอยู่ใกล้มากๆ จนหากไม่สังเกต...ก็มองไม่เห็น....

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

กลับมาสู่...ความสุข...

ห่างจากการเขียนบล็อกไปนาน คงเพราะขาดพลัง เป็นธรรมดา รถไม่มีน้ำมันก็วิ่งไม่ได้ ตอนนี้ เริ่มมีไฟที่จะเขียนมันอีกครั้ง ชีวิต ต้ิองการคุณค่า และคุณค่าที่ได้จากการเขียน มันช่างมีคุณอะไรเช่นนั้น
ช่วงที่ผมห่างการเขียนบล็อกไป ผมก็ได้ไปทำอย่างอื่น (ยกเว้นงานประจำ) เช่น ทำหุ่นยนต์, แต่งเพลง, ทำวงดนตรี, อยู่เฉยๆ, ฯลฯ สำคัญเลยก็คือ การอยู่เฉยๆ เพราะมันทำให้เราได้หยุดเพื่อพิจารณาสิ่งต่างๆ และพิจารณาชีวิตของตนเอง
หากเราเติบโตขึ้นในวิถีทางที่ถูกต้อง เราก็จะมีความทุกข์น้อยลง และมีความสุขได้ง่ายขึ้น
ผมรู้สึกว่า "ผมมีความสุข" ง่ายๆ ได้มากขึ้น....
ผมชอบ ชีวิตที่เรียบง่าย
ผมชอบ ความคิดที่ไม่ซับซ้อน
ผมชอบ มอง "แดดยามเช้า" อันแสนจะอบอุ่น....หากมีกาแฟกลิ่นละมุนสักแก้ว ก็ยิ่งดี
ผมจะยังคง "เขียน" ต่อไป เพื่อแบ่งปัน "ความสุข" ให้กับผู้อื่น หากมันจะมีแม้สักเสี้ยวหนึ่ง...
....ก็นับว่า "คุ้มค่า" แล้วครับ...

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

มิติแห่งจิต

บทความทั้งหมดนี้ เขียนขึ้นจาก "ความเชื่อ" และ จินตนาการ ของผม
จิตของมนุษย์ ดำเนินอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ที่ไม่ใช่มิติเดียวกันกับโลกใบนี้ โลกใบนี้จำกัดอยู่ในมิติจำนวน 4 มิติเท่านั้น หรือประสาทสัมผัสของเรา รับรู้เพียง 4 มิติเท่านั้น (แกน x,y,z และ เวลา) เมื่อเรายังไม่เกิด หรือจุติ ขึ้นมานั้น จิตของเรา ยังดำเนินอยู่ในมิติอื่น เป็นอิสระ และเมื่อเรา ได้โอกาส ที่จะ จุติ ขึ้นมา จิต มารวมกับ กาย จิต เราจึงถูกจำกัดให้เหลือเพียง 4 มิติ แต่สิ่งที่ได้ก็คือ กาย เราใช้ประโยชน์จาก กาย ของเรา เพื่อเรียนรู้ "ปัญญาอันยิ่งใหญ่" แห่งจักรวาล ดังนั้น การเกิดมา ก็เพื่อ ศึกษา เรียนรู้ ถึงปัญญาอันนี้ จักรวาลของเรา "ช่างอัศจรรย์" ยิ่งนัก
สมองของมนุษย์ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มนุษย์เข้าใจ ปัญญาแห่งธรรมชาติ ได้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เวลาบนโลก อาจน้อยเกินไป สำหรับการศึกษาให้เข้าใจ ธรรมะ ทั้งหมด กว่าสมองจะทำงานได้ตามที่ต้องการ อีกทั้งยังต้องสาละวนกับสิ่งต่างๆ เช่นการสร้างความเจริญทางร่างกาย เรื่องครอบครัว เรื่องการเรียน ฯลฯ กว่าที่่จิตจะพร้อมสำหรับการศึกษา ธรรมะ บางคนก็มีอายุทางร่างกายมากแล้ว
เมื่อร่างกาย แก่ มากๆเต็มที่ มันก็จะ ตาย แต่จิตนั้นยังไม่ตาย จิตยังคงแสวงหา "ความรู้" ต่อไป จึงต้อง จุติ ขึ้นมาใหม่อีก ปัญหาของเรื่องก็คือ ธรรมชาติ มีความยุติธรรม การจุติ จึงเป็นไปตามผลของการกระทำ หรือ กรรม นั่่นเอง จิตบางดวง จึงไปเสียเวลาในการรับผลของกรรม อาจจะใช้เวลาเกิด-ตาย หลายรอบ (หลายชาติ) กว่าจะเริ่มเข้าใจในเรื่องของ กรรม และหยุดการสร้างกรรม แม้ทั้งดี และ เลว
สุดท้าย การเดินทางอันแสนยาวไกล จิตเข้าสู่ ปัญญาอันยิ่งใหญ่ รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และ "เป็นอมตะ" ไร้ซึ่งการเกิด-ตาย เพราะจิตเข้าใจ ถึงปัญญาอันสูงสุดแล้ว ไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีความปรารถนาใดๆ เข้าสู่ ความว่างและึความสมบูรณ์ อันครบถ้วน.....